วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

พระอรหันต์ในบ้าน


คำว่า "พระในบ้าน" ในที่นี้มิได้หมายถึงพระสงฆ์องคเจ้า  แต่หมายถึงพระที่อยู่ในบ้านจริง หมายความว่า ในครอบครัวหนึ่ง ๆ จะมีพระอยู่ ๒ องค์ คือ พระพ่อกับพระแม่  พ่อแม่เรานี่แหละเป็นพระของเรา เป็นพระที่นั่งอยู่ในบ้าน  เป็นพระที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด....ท่านเป็นพระ  เป็นเทวดา และเป็นพระอรหันต์ของลูก

ผู้เป็นลูกควรคิดไตร่ตรองอยู่เสมอว่า ในโลกนี้คงไม่มีใครรักเราเท่าชีวิตเหมือนกับพ่อแม่  แม่รักเรายิ่งกว่าชีวิตของท่านเสียอีก ดังบทกลอนที่ว่า......

                                            "รักของใครหรือจะแท้เท่าแม่รัก
                                            ผูกสมัครรักมั่นมิหวั่นไหว
                                            หวงใดเล่าเท่าหวงดั่งดวงใจ
                                            ที่แม่ให้กับลูกอยู่ทุกครา
                                                          ยามลูกขื่นแม่ขมตรมหลายเท่า
                                                          ยามลูกเศร้าแม่โศกวิโยกกว่า
                                                          ยามลูกหายแม่ห่วงคอยดวงตา
                                                          ยามลูกมาแม่หมดลดห่วงใย"


พ่อแม่คือพระพรหมของลูก
เพราะปฏิบัติอยู่ในพรหมวิหาร ๔  คือ  เมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา

พ่อแม่เป็นบูรพาจารย์ของลูก (คนแรก)
"บูรพาจารย์"  คือ ครูคนแรกที่สอนให้ลูกพูด ให้รู้จักเรียก พ่อแม่  ลุงป้า...พ่อแม่จะสอนลูกให้อ่อนน้อม....สอนให้ลูก....รู้จักโอบอ้อมอารี....วจีไพเราะ....สงเคราะห์ชุมชนและและวางตนให้เหมาะสม

มีลูกบางคน พอโตขึ้นมาหน่อย....กลับด่าแม่...ตีแม่...เถียงแม่....ทำให้แม่ผิดหวัง ทำให้แม่เสียใจ  บางครั้งถึงกับทำให้แม่ต้องหลั่งน้ำตา....น้ำตาแม่ที่ไหลออกมา...เพราะลูกชั่ว....มันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมา....ด้วยความน้อยใจ....ดังคำกลอนที่ว่า....

                                            ลูกคนใดกระทำกรรมแก่แม่
                                            สุดเลวแท้ชั่วช้าสิ้นราศี
                                            ลูกด่าแม่ตีแม่ลูกกาลี
                                            ลูกอับปรีย์ทำแม่ช้ำน้ำตาริน

                                                   น้ำตาแม่       รินไหลเมื่อลูกร้าย
                                                   น้ำตาแม่       เป็นสายเมื่อลูกหมิ่น
                                                   น้ำตาแม่       หลั่งลงรดพื้นดิน
                                                   เมื่อได้ยิน     ลูกเสเพลเนรคุณ

พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก
พระอรหันต์ หมายถึง บุคคลที่เราควรเคารพบูชา  ขอให้เราไตร่ตรองถึงพระคุณของแม่  แต่ก่อนแม่ต้องทำงานหนักเพื่อใคร ?  แม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อใคร ?  แม่ยอมทำงานหนักก็เพื่อลูก เพื่อส่งเสียให้ลูกได้เล่าเรียน  จะได้มีอนาคตที่สดใส ดังคำกลอนที่ว่า....

                                          "แม่เป็นผู้ให้     กำเนิดเกิดลูกรัก
                                          แม่เป็นผู้ให้      ที่พักพิงอาศัย
                                          แมเป็นผู้ให้      ความการุณอุ่นกายใจ
                                          แม่เป็นผู้ให้      อะไรอะไรไม่รามือ"

                                                "ลูกเจ็บไข้แม่ก็ให้การรักษา
                                                ลูกโตมาแม่ก็ส่งเรียนหนังสือ
                                                ลูกต้องการตำราแม่หาซื้อ
                                                ลูกปรึกษาหารือแม่ยินดี"

                                                     "ดวงใจแม่    สะอาดแท้    กว่าทุกสิ่ง
                                                     ดวงใจแม่     สะอาดยิ่ง     กว่าสิ่งไหน
                                                     ดวงใจแม่     สะอาดเกิน   กว่าสิ่งใด
                                                     ดวงใจแม่มีไว้   เพื่อลูกเอย"

คนสมัยใหม่นี้ บางคนก็ไขว่เขว ไม่ค่อยรักพ่อแม่ เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่  ไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพ บางทีก็ดูหมิ่นหาว่าคุณพ่อและคุณแม่นี้ไม่ได้เข้าโรงเรียน เป็นคนหัวโบราณ ไม่ทันสมัย   เราอย่าไปมองอย่างนั้น....เราต้องเคารพนับถือท่าน อย่าเอาอย่างเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง

มีเรื่องเล่าว่า  ยังมีหญิงสาวผุ้หนึ่ง ได้ไปเรียนต่อเมืองนอก จบปริญญาโทกลับมาบ้าน พอมาถึงบ้านรู้สึกว่าอะไร ๆ มันขวางหูขวางตาไปหมด  มันเหลือเกินจริง ๆ ทำตัวเย่อหยิ่ง ยะโส...โอหัง...พองใหญ่ ไม่มีใครสู้

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เรียกแม่ว่า  แม่...แม่เปิดหน้าต่างให้หนูหน่อยซิ...อากาศร้อน  ส่วนแม่ก็เปิดหน้าต่างให้  จากนั้นก็พูดว่า

"แม่เอาน้ำมาให้หนูดื่มหน่อยซิ...หิวน้ำ"

แม่ก็เอามาให้

"แม่ยุงกัดหน้าแข้งหนู มาปัดยุงให้หนูหน่อยซิ"  จะใช้แม่อยู่อย่างตลอด

วันหนึ่ง.....แม่เหลือทนแล้ว  จึงพูดว่า  "ลูกนี่  ตั้งแต่ลูกไปเรียนเมืองนอกกลับมานี่ ไม่เหมือนเดิมเลยนะ  เดี๋ยวนี้...ลูกใช้แม่เหมือนกับคนใชักับทาส"  เมื่อแม่พูดอย่างนี้ ลูกสาวชี้หน้าด่าแม่ว่า

"แม่นี่ไม่ได้เรื่องเลย ไม่กตัญญูรู้คุณคนเอาเสียบ้างเลย แม่พูดอย่างนั้นได้อย่างไร"  แล้วยังพูดซ้ำอีกว่า

"แม่พลอยได้หน้าได้ตาก็เพราะหนูนี่แหละ หนูไปเรียนจบปริญญาโทเมืองนอกมา เพราะฉะนั้น แม่จะต้องเอาใจใส่ปฏิบัติหนูให้ดี ๆ หน่อย"  ความคิดของสาวคนนี้ใช้ไม่ได้ ไม่คำนึงถึงว่าใครให้เกิดมา ใครให้การศึกษา ใครส่งไปเรียนต่อเมืองนอก

ในทำนองเดียวกัน  ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อปัญญานันท ได้นั่งรถแท็กซี่ไปธุระ...มองเห็นคนขับรถแท็กซี่แก่แล้ว จึงถามว่า นี่โยม...อายุเท่าไหร่แล้ว (๖๒ปี)  อายุมากแล้ว ทำไมยังขับรถอยู่ล่ะ ?  ลูกเต้าไม่มีดอกหรือ ?  ชายผู้นั้นบอกว่า  "ผมมีลูก ๖ คน ๕ คนแรกเป็นข้าราชการ ส่วนคนสุดท้องปัญญาอ่อนบ้า ๆ บอ ๆ หลวงพ่อถามอีกว่า  "ลูก ๆ ไม่ว่าหรือ ที่แก่แล้วยังขับรถอยู่อย่างนี้"

เขาบอกว่า...ลูก ๆ ก็บ่นเหมือนกัน เพราะพ่อแก่แล้วไม่น่าขับรถแท็กซี่ จึงบอกลูกว่า...เอาเถอะ ต่อไปพ่อ...จะเลิกขับรถ  แต่ว่าลูกทุกคนต้องให้เงินพ่อเดือนละ ๑๐๐ บาท ๕ คน ก็ ๕๐๐ บาท ส่วนผู้เป็นลูกบอกว่า  เรื่องนี้ต้องเปิดประชุมสภาวิสามัญ ปรึกษาหารือกันเสียก่อน ในที่ประชุมเสนอญัตติว่า

"พ่อแก่แล้ว....อายุมากแล้ว...ไม่ควรจะให้ขับรถ...เดี๋ยวจะไม่ปลอดภัย  วันนั้นพ่อบอกว่า...ให้ลูกแต่ละคนสละเงินเดือนคนละ ๑๐๐ บาททุกเดิอน ใครจะรับหลักการนี้ย้าง"

พวกลูก ๆ ปรึกษาหารือกัน ในที่สุดก็ลงมติว่า  "ไม่รับหลักการ"  เพราะต่างคนก็พูดว่า...ข้าวยากหมากแพง...เศรษฐกิจไม่ดี...ลูกก็หลายคน...บ้านก็ต้องเช่า...ข้าวก็ต้องซื้อ...รถก็ต้องผ่อน

คิดดูละกัน  พ่อแม่เลี้ยงลูก ๖ คนไม่บ่นเลย ส่งให้เล่าเรียนเป็นข้าราชการ ลูก ๖ คน จะเลี้ยงพ่อกัยแม่ ๒ คนไม่ได้ต้องเกี่ยงกัน คนโน้นก็ว่าของแพง คนนี้ก็ว่าลูกหลายคน คนนั้นก็บ่นว่า...บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ อ้าวสารพัด พ่อแม่เลี้ยงลูกไม่เคยเกี่ยง...๑๐ คนก็ได้ ๑๒ คนก็ได้ แต่ว่าลูก ๖ คน กลับเลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้ ลองนึกดูสิว่า...ชะตากรรมชีวิตของชายชราผู้นั้น ยังจะต้องขับรถแท็กซี่ต่อไปอีกหรือไม่ ?

อดีตที่ผ่านมา เราอาจจะเผลอลืมสติไปบ้าง แต่ต่อจากนี้ไปขอเรามีสำเหนียกอยู่เสมอว่า  ขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่นั้น  เมื่อเราได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน เข้าไปหาพ่อแม่....เอาหัวหนุนตักท่าน....ท่านจะเอามือลูกศีรษะเราเบาๆ พร้อมกับบอกว่า....ลูกเอ๋ย....แม้คนทั้งโลกจะบอกว่าลูกของแม่ชั่วช้าสามานย์ แต่แม่ก็นึกเสมอว่า....ลูกของแม่นั้นเป็นคนดีเสมอ  เพราะว่า....เจ้าคือเลือด...คือเนื้อ...คือหัวใจของแม่...ลูกคือแก้วตาดวงใจของแม่

ที่ผ่านมาพ่อแม่ต้องทำงานหนักเพราะใคร ?   เหน็ดเหนื่อยเพื่อใคร ?  แม่นั้นทำงานหนักก็เพื่อลูกมิใช่หรือ ?   เมื่อนึกได้แล้วก็ควรตอบแทนบุญคุณท่าน ทำให้ท่านมีความสุขกายสบายใจ  อย่าให้เหมือนกับลูกบางคน เที่ยวทำบุญตักบาตรครบ ๙ รูป ๙ วัด แต่ลืมพระในบ้าน คือ พ่อแม่  ปล่อยให้ท่านอด ๆ อยาก ๆ  แล้วมัดจะได้บุญอย่างไร  อยากจะบอกว่า....

                                       "ตักบาตรกี่พันครั้วก็ยังด้อย
                                       ถ้าหากปล่อยให้พ่อแม่กินไม่อิม
                                       สร้างพระเครื่องเข้าพิธีกี่หมื่นพิมพ์
                                       บุญไม่เท่าสร้างรอยยิ้มให้พ่อแม่ได้อิ่มใจ"

ขอให้ลูกทุกคน ๆ คนประณมมือขึ้น กล่าวคำมั่นสัญญา และขอขมาต่อคุณพ่อคุณแม่พร้อม ๆ กัน  ว่าตามดังนี้

               "ด้วยกายก็ดี  ด้วยวาจาก็ดี  ด้วยใจก็ดี...ที่ลูก ๆ เคยล่วงเกิน เคยกระทำ  ความผิดต่อคุณพ่อและคุณแม่.....เคยทำให้คุณพ่อและคุณแม่ต้องเสียใจ...ต้องผิดหหวังต้องน้ำตาไหล

              บัดนี้...ลูกสำนึกผิดแล้ว  ลูกจะกลับตัวใหม่...เริ่มต้นใหม่  เริ่มเป็นคนดี  เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่และครูอาจารย์...จะไม่ทำให้คุณพ่อและคุณแม่ต้องผิดหวัง...ไม่ทำให้ครูอาจารย์ต้องเดือดร้อน...

             ด้วยสัจวาจานี้...ขอพรอันประเสริฐจงบังเกิดมีแก่ลูกตลอดกาลนานเทอญ"                                              
                                                                                                             
                                                          ..................................................

จาก....หนังสือธรรมะ...ปาร์ตี้  แฮปปี้...เถอะโยม
เขียนโดย.....พระมหาสนอง  ปัจโจปการี