วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

โดดเรียนอย่างไร....ไม่ให้เจ็บตัว

โดย...พระมหาสนอง ปัจโจปการี
จาก หนังสือ ธรรมะ...ปาร์ตี้  แฮปปี้...เถอะโยม

ท่านทั้งหลายรู้ไม่ว่า  การโดดเรียนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร?  ขอตอบว่า การโดดเรียนนี้มีมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๑๘๒๖ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์อักษรไทยได้เพียง ๒ ปี แม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้น การโดดเรียนจะยังไม่เป็นที่นิยมกัน  เนื่องจากว่า เด็กสมัยนั้นไม่รู้ว่าจะโดดไปไหนกัน?  จะโดดลงไปในน้ำก็มีแต่ปลา จะโดดลงนาก็มีแต่ข้าว....

แต่เด็กสมัยนี้พร้อมทั้งผู้ใหญ่ด้วย  ชอบโดดลงไปในอ่างน้ำ แล้วจะมีคนคอยถูขี้ไคลตามซอกมุมต่าง ๆ ให้...จะโดดลงในนาก็มีแมงดาคอยควบคุมพฤติกรรมให้เสียวว้อย !....จะกระโดดเรียนทยอยเข้าไปในเมือง  ก็มีโต๊ะให้แทงสนุกสนาน...จะโดนเรียนเข้าไปในบ้านน้า  น้าก็มีวิดีโออาร์ให้หลานดู...จนบรรดาหนู ๆ น้อง ๆ พากันสติฟั่นเฟือน...ใจแตกกระเจิดกระเจิงกระจายไปทั่วบ้านทั่วเมือง  วู้ สะ ใจ จริง

เรามาสำรวจและค้นหาสาเหตุที่แท้จริง  ว่าทำไมจึงชอบโดดเรียนกันนัก  พวกแมวมอง (มิใช่ถ้ำมอง) หลังจากไปศึกษาสาเหตุของการโดดเรียน  ผลการสำรวจได้ดังนี้

              - เด็กโดดเรียน...เพราะเด็กเบื่อหน้าครู  
เด็กเบื่อหน้าครู สงสัยครูมีหน้าเป็นอาวุธ....ปัญหานี้แก้ไขได้ไม่ยาก....ผู้อำนวยการควรออกกฏให้บรรดาครูน้อยครูให้ทำเบบี้เฟรชเดือนละครั้ง  เปลี่ยนสีผมทุกสัปดาห์   สัปดาห์ละสี  เปลี่ยนคำด่าทุก ๆ วันพระ  เด็ก ๆ จะได้ไม่เซ็ง  เปลี่ยนชื่อใหม่ได้ยิ่งดี  แม้ว่าเปลี่ยนชื่อเป็นฝรั่งไปแล้ว  แต่หน้าตายังเหมือนมังคุดก็ตาม

               - เด็กโดดเรียน....เพราะเด็กเบื่อรายวิชา
ปัญหานี้แก้ได้โดยการปรึกษาคุณแม่ศิราณี (ตอนนี้เธอแก่แล้ว) และแก้ไขโดยเพิ่มรายวิชาใหม่ ๆ  เดิมมีวิชาภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ....ควรเพิ่มวิชาภาษาหน้าอก-หน้าใจ

ถ้าเด็กเบื่อวิชา สลน. สปช. กพอ. เราก็น่าจะเพิ่มรายวิชา ครม. รมต. กขค. กกน.  คมช. (เล่นของสูงนะเนียะ)  และการประจบ สอพลอ เข้ามาด้วย

เปลี่ยนวิชาใหม่แล้วเด็กยังเบื่ออีก  ก็เพิ่มวิชาใหม่เข้ามาอีก  ไม่ว่าจะเป็นวิชาแพะ  วิชาแกะ  วิชามาร

                - เด็กโดดเรียน....เพราะเด็กเบื่อการสอนของครูประจำวิชา
ปัญหานี้แก้ได้ไม่ยาก  กล่าวคือให้เปลี่ยนวิชาการสอน  เดิมครูหรืออาจารย์อาจจะสอนโดยการอ่าน แล้วให้นักเรียนจดตาม  ก็ควรจะเปลี่ยนเป็น อ่านแล้วให้นักเรียนหลับตาม (อัธยาศัย) เวลาเรียน

เดิมอาจารย์อาจจะนั่งไขว่ห้างสอน  ก็ลองเปลี่ยนวิธีมานั่งพับเพียบสอน  หรือตีลังกาสอนก็ได้  ถ้าเป็นครูหรืออาจารย์สตรีไม่ควรนั่งเปิดหวอในเวลาสอน  เพราะเด็ก ๆ  จะไม่มีสมาธิ เนื่องจากเสียงหวอรบกวน

                - เด็กโดดเรียน....เพราะเบื่อวิธีการทำโทษของครูผู้สอน
การทำโทษเด็กเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง  แต่ก็ชอบใช้ทุกยุคสมัย....การลงโทษมีผลอย่างยิ่งต่อ...ต่อมลูกหมากของเด็ก เพราะตามธรรมชาติแล้ว  เด็กรักที่จะถูกลงโทษ ไม่ใช่ว่าเด็กซาดิสต์  แต่การลงโทษเป็นสัญลักษณ์ว่า  ครูรักและเอาใจใส่ในตัวนักเรียน  ดั่งสุภาษิตที่ว่า  "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี  รักศิษย์ให้ตีตัวไปก่อนไข่ รักผู้ใหญ่ให้แจ้งกำนัน  รักการพนันให้ไปที่บ่อน"

วิธีการลงโทษแบบเก่า ๆ มันซ้ำ ๆ ซาก ๆ  ควรจะเปลี่ยนวิธีการแบบใหม่  เช่น เดิมเคยให้เด็กคาบไม้บรรทัดแล้วยืนกระต่ายขาเดียว (ผู้เขียนก็เคยถูกทำโทษแบบนี้เหมือนกัน) ก็เปลี่ยนวิธีใหม่  โดยให้เด็กคาบไม้ป่าเดียวกัน แล้วยิงกระต่ายขาเดียว น่า จะ ดี มิ ใช่ น้อย

เดิมเคยให้เด็กวิ่งรอบสนามฟุตบอลของโรงเรียน  ก็เปลี่ยนมาเป็นให้วิ่งรอบสนามรัชมังคลากีฬาสถาน....เหนื่อยกว่ากันเยอะเลย

เดิมครูลงโทษโดยการดึงหูเด็ก....ควรเปลี่ยนมา....ดึงหูของผู้ปกครองของเด็กแทน (ในฐานะที่ไม่อบรมสั่งสอนลูกหลานของตัวเอง)

               - เด็กเบื่อเรียน....เพราะเด็กเบื่อการสอบ
ปัญหานี้แก้ได้โดยไม่ยาก....ครูควรเลิกการสอบ แล้วให้เด็กทำการสอดหรือการเสือกแทน....เพราะเด็กจะถนัดมากกว่า

หลังจากการที่ทราบสาเหตุการโดดเรียน  โดยผลงานการศึกษาของ พรชัย แสนยะมูล (กุดจี่) ที่ทำหน้าที่เป็นแมวมอง....ทำให้บรรดาครูอาจารย์รู้วิธีการที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นอย่างดี

คราวนี้แหละ เด็ก ๆ จะได้สนใจเรียน  แล้วจะไม่โดดเรียนอีกต่อไป  แต่จะเปลี่ยนจากโดดเรียนไปเป็น "โดดร่ม" แทน อ้าว !...ก็อันเดียวกัน

แม้ว่าการโดดเรียนหรือการโดดร่ม...จะเป็นกีฬาภาคสนาม ให้เด็กมีความกร้านต่อโลก และเป็นการสร้างความระทึกขวัญให้กับผู้โดดเรียนเองก็ตาม  แต่การโดดเรียนก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรโดด(โปรดฟังอีกครั้ง....เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ)  เพราะจะส่งผลกระทบในวันข้างหน้า

สำหรับผู้ที่ชอบโดดเรียนเป็นชีวิตจิตใจสมัยเป็นเด็ก เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่และเป็นกำนัน (ถ้าไม่ตายก่อนคงมีสิทธิ์ เป็นผู้ใหญ่ >กำนัน) พฤติกรรมอันนั้ จะซับซึมถึง ตับ ไต ไส้ พุง อันถาวรได้


                                                            ..........................................