วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หลงซ้อนหลง



 ความเห็นผิดเปรียบเสมือนป่าลึก

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ตั้งแต่ขึ้นปีใหม่ ปี  ๒๕๕๖  มานี้  ก็เพิ่งจะได้สาระใหม่ ๆ  วันนี้เอง  พบกันอีกเช่นเคย  บล็อกนี้เป็นสำหรับสารพัดเรื่อง เป็นบล็อกสำหรับท่านผู้ที่ชอบรวมมิตร  ก็แก้เซ็งและคลายเครียดได้พอสมควรน่ะ  ที่จริงแล้วเรื่องเซ็งหรือเครียดนี่  มันเป็นเรื่องของอกุศลจิตของแต่ละคน  ไม่มีใครทำให้ใครเครียดได้  เพราะว่าเป็นธรรม  เป็นอนัตตา  ถ้าไม่มีปัญญาก็เที่ยวโทษโน่นโทษนี่ไปตามกระแสกิเลส  เพราะไม่รู้ว่าทุกอย่างเกิดจากเหตุ   ทุกคนเกิดมาเพื่อเสวยผลกรรมของตน   หนีไม่พ้นวิบากในแต่ละวัน ๆ .....ขอรวบรัดแบบง่าย  ๆ  ดีกว่านะ   ก่อนที่ฉันจะเล่าเรื่องสนุก ๆ สู่ กันฟัง   ก็ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างมาก  ที่ได้ติดตามอ่านและให้กำลังใจมาโดยตลอด  นี่ก็ย่างเข้าปีที่ ๓ ของการเขียนบทความบล็อก "สัพเพเหระ"  ระยะหลัง ๆ นี้  ก็มีจำนวนผู้อ่านเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ    ฉันเองไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพหรอกนะ  แต่ไม่อยากให้คอมฯ  อยู่เฉย ๆ  เดี๋ยวกลายเป็นอัมพาต  จึงคิดว่าควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นด้วย  การเขียนบทความของฉัน  บางครั้งสำนวนเชยไปหน่อย  ก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ  จะพยายามปรับปรุงจ๊ะ

เกริ่นมายาวพอสมควรแล้วน่ะ  ขอเริ่มเรื่องดีกว่า  เรื่องมีอยู่ว่า....วันนี้เมื่อเวลาประมาณ ๑๑ โมงเศษ ๆ
ฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรุ่นอาวุโสวัย  ๗๐ ปีเศษ ๆ   ขอตั้งชื่อสมมติให้ว่า "จุ้น"  ก็แล้วกัน  เพราะว่าเธอเป็นคนชอบจุ้นจ้านและเว่อร์มากทีเดียว  ยกตัวอย่างเช่น  การโทรฯ  ของเธอวันนี้ก็ไม่ธรรมดา  มันต้องมีอะไรแฝงอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ  คิดแล้วไม่ผิด  เธอไม่โทรฯ บ่อยนัก  อย่างมากก็ปีละ ๒-๓ ครั้ง  บางปีก็เงียบไปตลอดทั้งปี

ตามมรรยาทสากล  ก็มีการถามทุกข์สุขกันก่อน  จากนั้นป้าจุ้นแก่ก็จะแพร่มไปเรื่อย  ๆ  ล้วนแต่เรื่องของแกทั้งนั้น  บ้างก็มีสาระและไร้สาระตามประสาคนแก่เฒ่า  เหงาหงอยที่ต้องอยู่กับความจำเจ  ก็เลยอยากจะหาเพื่อนคุยเพื่อนฟังบ้าง  ฉันก็ทำหน้าที่เป็นผู้ (ทน) ฟังที่ดีเช่นเคย

 มีอยู่ตอนหนึ่งเธอพูดว่า  "เดี๋ยวนี้น่ะ  เธอรู้มั้ย  ฉันไม่มีเพื่อนเลย  เขาตัดขาดจากฉันหมด  เขาหาว่าฉันบ้า ๆ บอ ๆ"    "ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้น ? "  ฉันถามด้วยความสงสัย

ป้าจุ้นตอบว่า  " คนพวกนี้มันไม่สนใจเรื่องบุญทาน  เรื่องธรรมะ  พอฉันพูดเรื่องการปฏิบัติธรรมให้ฟัง  มันก็ว่าฉันบ้า ไม่อยากฟัง"

"ก็พวกเขาไม่ได้สะสมอุปนิสัยมาอย่างป้ามั้ง   เขาก็เลยไม่สนใจน่ะซิ "  ฉันพูดให้เหตุผล

" เออ....เธอพูดถูกนะ  พวกนี้มันไม่เคยสะสมบุญมาอย่างเรา  มันก็ไม่สนใจเรื่องบุญ  ฉันมันใจกว้างเรื่องทำบุญทำทาน  สร้างพระองค์ใหญ่ ๆ  ฉันก็ทำมาแล้วมามากแล้ว  ไปเมืองไทยแต่ละปี  ฉันไปทำบุญเป็นแสน ๆ บาท  เพราะผลทำบุญไง   ฉันถึงมีร่างกายแข็งแรง  มีกำลังทำงานหาเงินได้อยู่  ฉันไปอินเดียมา ๓ ครั้งแล้ว  ไปสร้างพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่  ไปปฏิบัติวิปัสสนาที่พุทธคยามาแล้ว  ไปเข้ากรรมฐานกับหลวงพ่อ.....สายหลวงปู่มั่น  สายหลวงปู่แหวนมาหลายครั้งแล้ว  ล้วนแต่พระระดับอรหันต์ทั้งนั้นเลยนะ  ตอนนี้ฉันเจอพระที่เทศน์เก่งองค์หนึ่ง  ท่านอยู่ในกรุงเทพฯ  นี่เอง  ฉันฟังเทปของท่านทุกวัน  ถูกจริตดี"
ป้าแกสาธยายซะยาวเฟื้อยเลย

"โชคดีจังเลยนะ  ที่ป้าได้มีโอกาสปฏิบัติกับหลวงปู่หลวงพ่อ"  ฉันกล่าวชมให้กำลังใจ

ป้ารีบพูดต่ออย่างเร็ว  คงกลัวว่าฉันจะแย่งพูดมั้ง  "เธอรู้มั้ย  ฉันปฏิบัติจนเห็นกายในแล้วนะ  อย่างจิตพระอรหันต์กับจิตของปุถุชนเวลาตายเนี่ย  เธอรู้มั้ยว่าจิตออกไปทางไหน ?  จิตพระอรหันต์กับจิตของปุถุชนออกจากร่างไม่เหมือนกันนะ "

ฉันรู้สึกจะทนฟังป้าจุ้นไม่ไหวซะแล้ว  เลยพูดขึ้นนว่า  " ป้า...นั่นมันไกลไปแล้ว  เรื่องพระอรหันต์น่ะ  เรายังเป็นปุถุชนอยู่  ก็พูดเอาแค่เรื่องพื้น ๆ  จะไม่ดีกว่าหรือ"

ป้าดุเสียงแป๋น  " ฟังก่อนซิ!   เธอน่ะ.....ยังไม่รู้อะไร  ฉันเห็นจิตของฉันแล้ว  มันมีประตูสำหรับจิตเดินเข้าออก  ฉันเห็นจิตมันเดินเข้าออกอย่างชัดเจนมาแล้ว  เวลานั่งสมาธิฉันจับมันวางที่ฐานได้  มันก็สงบทันที"

ฉันฟังแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้   จึงขอขัดคอป้าแกสักหน่อย  " ป้าจุ้น  ป้าจุ้น  เดี๋ยวก่อนจ๊ะ   สงสัยจัง.....ในเมื่อจิตเป็นนามธรรม  ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล  แล้วป้าบอกว่า จับให้อยู่ที่ฐานได้   อย่างนั้นไม่ถูกต้องแล้วจ๊ะ  จิตเป็นสภาพรู้  เป็นอนัตตา  จิตเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว  จิตออกจากกายก็ไม่ได้   เมื่อจิตจุติดับก็ปฏิสนธิทันที"

ป้าแก่ไม่ยอมฟังเหตุผลใด ๆ  ทั้งนั้น  แกเถียงยันฝาแน่นเลยล่ะ  น้ำเสียงของป้าเริ่มเปลี่ยนเพี้ยนไป  จากปรกติก็เป็นคนพูดเสียงดังอยู่แล้ว  ทีนี้ยิ่งดังเป็นกำลังสอง   " เธอพูดไม่ถูก  คนตายแล้วจิตออกทาง
ไหน  รู้มั้ย ?   เธอไม่รู้อะไร  ลองฟังธรรมของหลวงพ่อ....ดูซิ  เธอสายไหนเนี่ย  ถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย  นี่แสดงว่าไม่ได้รู้เรื่องธรรมะเลยซี "

ฉันลองทดสอบป้า   "ป้าไปเข้ากรรมฐานบ่อย ๆ  ไปถึงอินเดียมาแล้ว  ไหนลองพูดให้ฟังหน่อยซิ  เอาแค่ง่าย ๆ  อย่างเรื่องจิต  ป้ารู้มั้ยว่า จิตมีกี่ดวง ?  ขณะนี้มีสภาวะธรรมอะไรปรากฏบ้าง ?  ถ้าเรียนถูกต้องก็จะต้องตรงกัน  เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องของเหตุผล  เป็นของจริงที่รู้ได้ "

"จิตน่ะเหรอ....ก็มีดวงเดียวเท่านั้น  หลวงปู่หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ให้พูดมากกับคนที่ไม่รู้เรื่อง  ฉันไม่อยากจะเถียงกับเธอ "  ป้าจุ้นเริ่มมีอาการขุ่นใจอย่างเปิดเผย

" ป้า....เราสนทนากันด้วยเหตุผล  ไม่ใช่เถียงกัน....ป้าบอกว่า จิตมีดวงเดียวเท่านั้น  งั้นจิตที่เป็นกุศลและจิตที่เป็นอกุศลก็ดวงเดียวกันหรือ ?"  ฉันถาม

ป้ารีบตอบด้วยความมั่นใจ  " ก็ใช่ซิ  จะมีอะไรหลายดวงล่ะ  ตายแล้วมันก็ออกจากร่างไปดวงเดียวนั่นแหละ  เธอนี่พูดไม่รู้เรื่อง  ฉันไม่อยากพูดด้วย   เธอเรียนสายไหนเนี่ย  มันไม่ถูกต้อยเลยนะ "  ป้าแกชักจะฉุนมากขึ้นแล้ว

ฉันตอบด้วยน้ำเสียงปรกติ  " ไม่มีสายไหน  ก็ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าและศึกษาจากพระไตรปิฎกบ้าง  ป้าลองอ่านพระไตรปิฎกดูซิ  จะรู้ว่าจิตไม่ได้มีดวงเดียวอย่างที่ป้าพูด  ท่านแยกประเภทของจิตออกตามหน้าที่ต่าง ๆ   มีทั้งหมด ๘๙ ดวง "  ฉันพยายามที่จะอธิบายให้ป้าจุ้นเข้าใจถูก  แต่เธอบอกว่าไม่ถูกต้องตรงตามที่แกรู้   ว่าแล้วป้าก็รีบจัดการเปิดเทปธรรมะด้วยโทสะ  เสียงดังเต็มที่  เพื่อที่จะให้ฉันได้ยินชัดเจนมั้ง   ฉันก็อนุโมทนา  แล้วเธอก็พูดต่ออีกว่า

"นี่เธอ.....เธอต้องฟังธรรมอย่างนี้ซิ  ถึงจะดี  ฉันน่ะฟังประจำเลย  เธอไปหาเทปฟังไป๊ "

ป้าจุ้นเกิดโทสะเล่นงานเข้าแล้วยังไม่รู้ตัว  แค่โดนทดสอบนิดหน่อย ก็ไฟโทสะพุ่งจู้ดซะแล้ว  คงจะเข้าใจว่า ตัวเองได้บรรลุธรรมชั้นสูง  เพราะได้เห็นจิตเดินเข้าออกทางประตู  และแถมยังเอาจิตให้อยู่กับฐานได้ด้วย.....ก็อย่างนี้เอง  ป้าถึงไม่มีเพื่อนที่จะร่วมสนทนาธรรมด้วย  เพราะเขายังไม่อยากเป็นบ้าด้วยนั่นเอง

ในที่สุดฉันก็เลยขอตัวไปทำกับข้าวดีกว่า  เพราะพิจารณาแล้วว่า ขืนพูดนานกว่านี้  ก็จะทำให้คนแก่เครียดหนักยิ่งขึ้น  ก็จะทำให้เป็นการสะสมอกุศลจิตมากขึ้นทั้งสองฝ่ายได้  เห็นแกมาร่วม ๒๐ ปีแล้ว  ไม่เปลี่ยนแปลงเลย  เป็นอะไรที่วูบ ๆ  เว่อร์ ๆ  เสมอ

โลกของคนปฏิบัติธรรม  ก็แตกต่างกันไปตามการสะสมของจิตและต่างกันตามเหตุปัจจัย  ที่ไม่รู้แล้วว่าตนรู้  นี่น่ากลัวมากที่สุด   เพราะว่าไม่รู้ตรงตามความจริง  มีความเห็นผิดก็ปฏิบัติผิด ๆ  แทนที่จะได้สะสมกุศล  ก็กลายเป็นสะสมอกุศล  เป็นการเจริญอกุศลมากยิ่งขึ้น  แล้วผลหรือวิบากนั้นจะเป็นอย่างไร ? เมื่อตายแล้วจะไปไหน ?   ก็ต้องไม่พ้นอบายภูมิอย่างแน่นอน...... พระธรรมคำสอนของผู้มีพระภาคไม่ทำให้คนร้อนรุ่ม  มีแต่ทำให้เย็นสบายเป็นสุข  เพียงแต่ต้องฟังธรรมและพิจารณาให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ๆ  เพื่อเป็น
สังขารขันธ์ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศล  จนกว่าจะเกิดปัญญาของตน  จนกระทั่งเป็นปัญญาประจักษ์แจ้งสภาพธรรม  ที่กำลังปรากฏทางทวารทั้ง ๖  ตามความเป็นจริงว่า  ไม่ใช่สัตว์  ไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่ตัวตน  ไม่ใช่เรา  จนถึงขั้นมรรคจิตที่สามารถประหารกิเลสเป็นสมุจเฉท

เรื่องนี้เป็นเพียงตัวอย่างเกี่ยวกับผู้สนใจศึกษาพระธรรมปฏิบัติธรรม  แต่มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) แล้วไม่รู้ว่าตนมีความเห็นผิด.....ผู้มีความเห็นผิดเป็นผู้ว่ายาก จะยึดความเห็นผิดของตนว่าถูกต้อง  เขาจะไม่สามารถออกจากความเห็นผิดได้เลย  เปรียบเสมือนบุคคลเดินหลงทาง  วนเวียนอยู่ในป่าลึก   ความเห็นผิดหรือทิฏฐิเป็นอกุศลเจตสิกเกิดกับโลภมูลจิต....... ความเห็นผิดมีโทษมากน้อยตามกำลัง  ถ้าเห็นผิดมากก็ไปนรกได้  เพราะเหตุว่า ถ้ามีความเห็นผิดตั้งแต่ต้นแล้ว   ถ้ามีการปฏิบัติก็จะต้องปฏิบัติผิด  (มิจฉาปฏิปทา)ด้วย   แต่บางคนก็มีความเห็นผิดแต่ไม่ได้ปฏิบัติอะไร  ก็มีโทษไม่มาก.......ท่านผู้อ่านล่ะคะ เป็นผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมหรือเปล่า   ทุกคนก็มีหลงทั้งนั้น  เพราะเหตุว่า หลงเป็นโมหมูลจิตที่เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง  เมื่อใดสติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง  ขณะนั้นเป็นกุศลจิต  ไม่ใช่หลง   เพราะฉะนั้น  ยังไง  ๆ  ก็อย่าหลงจนเลอะเหมือนอย่างป้าจุ้นน่ะ...... พระธรรมเป็นเรื่องละเอียด  ต้องใช้ความเพียรสม่ำเสมอ  ฟังสะสมปัญญาเป็นขั้น ๆ  ไป  ไม่เช่นนั้นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคงไม่สั่งสมบารมีถึง ๔ อสงไขแสนกัปหรอกนะ.

                                                           ...............................................