ความเห็นผิดเปรียบเสมือนป่าลึก |
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ตั้งแต่ขึ้นปีใหม่ ปี ๒๕๕๖ มานี้ ก็เพิ่งจะได้สาระใหม่ ๆ วันนี้เอง พบกันอีกเช่นเคย บล็อกนี้เป็นสำหรับสารพัดเรื่อง เป็นบล็อกสำหรับท่านผู้ที่ชอบรวมมิตร ก็แก้เซ็งและคลายเครียดได้พอสมควรน่ะ ที่จริงแล้วเรื่องเซ็งหรือเครียดนี่ มันเป็นเรื่องของอกุศลจิตของแต่ละคน ไม่มีใครทำให้ใครเครียดได้ เพราะว่าเป็นธรรม เป็นอนัตตา ถ้าไม่มีปัญญาก็เที่ยวโทษโน่นโทษนี่ไปตามกระแสกิเลส เพราะไม่รู้ว่าทุกอย่างเกิดจากเหตุ ทุกคนเกิดมาเพื่อเสวยผลกรรมของตน หนีไม่พ้นวิบากในแต่ละวัน ๆ .....ขอรวบรัดแบบง่าย ๆ ดีกว่านะ ก่อนที่ฉันจะเล่าเรื่องสนุก ๆ สู่ กันฟัง ก็ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างมาก ที่ได้ติดตามอ่านและให้กำลังใจมาโดยตลอด นี่ก็ย่างเข้าปีที่ ๓ ของการเขียนบทความบล็อก "สัพเพเหระ" ระยะหลัง ๆ นี้ ก็มีจำนวนผู้อ่านเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันเองไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพหรอกนะ แต่ไม่อยากให้คอมฯ อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวกลายเป็นอัมพาต จึงคิดว่าควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นด้วย การเขียนบทความของฉัน บางครั้งสำนวนเชยไปหน่อย ก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ จะพยายามปรับปรุงจ๊ะ
เกริ่นมายาวพอสมควรแล้วน่ะ ขอเริ่มเรื่องดีกว่า เรื่องมีอยู่ว่า....วันนี้เมื่อเวลาประมาณ ๑๑ โมงเศษ ๆ
ฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรุ่นอาวุโสวัย ๗๐ ปีเศษ ๆ ขอตั้งชื่อสมมติให้ว่า "จุ้น" ก็แล้วกัน เพราะว่าเธอเป็นคนชอบจุ้นจ้านและเว่อร์มากทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น การโทรฯ ของเธอวันนี้ก็ไม่ธรรมดา มันต้องมีอะไรแฝงอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ คิดแล้วไม่ผิด เธอไม่โทรฯ บ่อยนัก อย่างมากก็ปีละ ๒-๓ ครั้ง บางปีก็เงียบไปตลอดทั้งปี
ตามมรรยาทสากล ก็มีการถามทุกข์สุขกันก่อน จากนั้นป้าจุ้นแก่ก็จะแพร่มไปเรื่อย ๆ ล้วนแต่เรื่องของแกทั้งนั้น บ้างก็มีสาระและไร้สาระตามประสาคนแก่เฒ่า เหงาหงอยที่ต้องอยู่กับความจำเจ ก็เลยอยากจะหาเพื่อนคุยเพื่อนฟังบ้าง ฉันก็ทำหน้าที่เป็นผู้ (ทน) ฟังที่ดีเช่นเคย
มีอยู่ตอนหนึ่งเธอพูดว่า "เดี๋ยวนี้น่ะ เธอรู้มั้ย ฉันไม่มีเพื่อนเลย เขาตัดขาดจากฉันหมด เขาหาว่าฉันบ้า ๆ บอ ๆ" "ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้น ? " ฉันถามด้วยความสงสัย
ป้าจุ้นตอบว่า " คนพวกนี้มันไม่สนใจเรื่องบุญทาน เรื่องธรรมะ พอฉันพูดเรื่องการปฏิบัติธรรมให้ฟัง มันก็ว่าฉันบ้า ไม่อยากฟัง"
"ก็พวกเขาไม่ได้สะสมอุปนิสัยมาอย่างป้ามั้ง เขาก็เลยไม่สนใจน่ะซิ " ฉันพูดให้เหตุผล
" เออ....เธอพูดถูกนะ พวกนี้มันไม่เคยสะสมบุญมาอย่างเรา มันก็ไม่สนใจเรื่องบุญ ฉันมันใจกว้างเรื่องทำบุญทำทาน สร้างพระองค์ใหญ่ ๆ ฉันก็ทำมาแล้วมามากแล้ว ไปเมืองไทยแต่ละปี ฉันไปทำบุญเป็นแสน ๆ บาท เพราะผลทำบุญไง ฉันถึงมีร่างกายแข็งแรง มีกำลังทำงานหาเงินได้อยู่ ฉันไปอินเดียมา ๓ ครั้งแล้ว ไปสร้างพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ ไปปฏิบัติวิปัสสนาที่พุทธคยามาแล้ว ไปเข้ากรรมฐานกับหลวงพ่อ.....สายหลวงปู่มั่น สายหลวงปู่แหวนมาหลายครั้งแล้ว ล้วนแต่พระระดับอรหันต์ทั้งนั้นเลยนะ ตอนนี้ฉันเจอพระที่เทศน์เก่งองค์หนึ่ง ท่านอยู่ในกรุงเทพฯ นี่เอง ฉันฟังเทปของท่านทุกวัน ถูกจริตดี"
ป้าแกสาธยายซะยาวเฟื้อยเลย
"โชคดีจังเลยนะ ที่ป้าได้มีโอกาสปฏิบัติกับหลวงปู่หลวงพ่อ" ฉันกล่าวชมให้กำลังใจ
ป้ารีบพูดต่ออย่างเร็ว คงกลัวว่าฉันจะแย่งพูดมั้ง "เธอรู้มั้ย ฉันปฏิบัติจนเห็นกายในแล้วนะ อย่างจิตพระอรหันต์กับจิตของปุถุชนเวลาตายเนี่ย เธอรู้มั้ยว่าจิตออกไปทางไหน ? จิตพระอรหันต์กับจิตของปุถุชนออกจากร่างไม่เหมือนกันนะ "
ฉันรู้สึกจะทนฟังป้าจุ้นไม่ไหวซะแล้ว เลยพูดขึ้นนว่า " ป้า...นั่นมันไกลไปแล้ว เรื่องพระอรหันต์น่ะ เรายังเป็นปุถุชนอยู่ ก็พูดเอาแค่เรื่องพื้น ๆ จะไม่ดีกว่าหรือ"
ป้าดุเสียงแป๋น " ฟังก่อนซิ! เธอน่ะ.....ยังไม่รู้อะไร ฉันเห็นจิตของฉันแล้ว มันมีประตูสำหรับจิตเดินเข้าออก ฉันเห็นจิตมันเดินเข้าออกอย่างชัดเจนมาแล้ว เวลานั่งสมาธิฉันจับมันวางที่ฐานได้ มันก็สงบทันที"
ฉันฟังแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ จึงขอขัดคอป้าแกสักหน่อย " ป้าจุ้น ป้าจุ้น เดี๋ยวก่อนจ๊ะ สงสัยจัง.....ในเมื่อจิตเป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล แล้วป้าบอกว่า จับให้อยู่ที่ฐานได้ อย่างนั้นไม่ถูกต้องแล้วจ๊ะ จิตเป็นสภาพรู้ เป็นอนัตตา จิตเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว จิตออกจากกายก็ไม่ได้ เมื่อจิตจุติดับก็ปฏิสนธิทันที"
ป้าแก่ไม่ยอมฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งนั้น แกเถียงยันฝาแน่นเลยล่ะ น้ำเสียงของป้าเริ่มเปลี่ยนเพี้ยนไป จากปรกติก็เป็นคนพูดเสียงดังอยู่แล้ว ทีนี้ยิ่งดังเป็นกำลังสอง " เธอพูดไม่ถูก คนตายแล้วจิตออกทาง
ไหน รู้มั้ย ? เธอไม่รู้อะไร ลองฟังธรรมของหลวงพ่อ....ดูซิ เธอสายไหนเนี่ย ถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย นี่แสดงว่าไม่ได้รู้เรื่องธรรมะเลยซี "
ฉันลองทดสอบป้า "ป้าไปเข้ากรรมฐานบ่อย ๆ ไปถึงอินเดียมาแล้ว ไหนลองพูดให้ฟังหน่อยซิ เอาแค่ง่าย ๆ อย่างเรื่องจิต ป้ารู้มั้ยว่า จิตมีกี่ดวง ? ขณะนี้มีสภาวะธรรมอะไรปรากฏบ้าง ? ถ้าเรียนถูกต้องก็จะต้องตรงกัน เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องของเหตุผล เป็นของจริงที่รู้ได้ "
"จิตน่ะเหรอ....ก็มีดวงเดียวเท่านั้น หลวงปู่หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ให้พูดมากกับคนที่ไม่รู้เรื่อง ฉันไม่อยากจะเถียงกับเธอ " ป้าจุ้นเริ่มมีอาการขุ่นใจอย่างเปิดเผย
" ป้า....เราสนทนากันด้วยเหตุผล ไม่ใช่เถียงกัน....ป้าบอกว่า จิตมีดวงเดียวเท่านั้น งั้นจิตที่เป็นกุศลและจิตที่เป็นอกุศลก็ดวงเดียวกันหรือ ?" ฉันถาม
ป้ารีบตอบด้วยความมั่นใจ " ก็ใช่ซิ จะมีอะไรหลายดวงล่ะ ตายแล้วมันก็ออกจากร่างไปดวงเดียวนั่นแหละ เธอนี่พูดไม่รู้เรื่อง ฉันไม่อยากพูดด้วย เธอเรียนสายไหนเนี่ย มันไม่ถูกต้อยเลยนะ " ป้าแกชักจะฉุนมากขึ้นแล้ว
ฉันตอบด้วยน้ำเสียงปรกติ " ไม่มีสายไหน ก็ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าและศึกษาจากพระไตรปิฎกบ้าง ป้าลองอ่านพระไตรปิฎกดูซิ จะรู้ว่าจิตไม่ได้มีดวงเดียวอย่างที่ป้าพูด ท่านแยกประเภทของจิตออกตามหน้าที่ต่าง ๆ มีทั้งหมด ๘๙ ดวง " ฉันพยายามที่จะอธิบายให้ป้าจุ้นเข้าใจถูก แต่เธอบอกว่าไม่ถูกต้องตรงตามที่แกรู้ ว่าแล้วป้าก็รีบจัดการเปิดเทปธรรมะด้วยโทสะ เสียงดังเต็มที่ เพื่อที่จะให้ฉันได้ยินชัดเจนมั้ง ฉันก็อนุโมทนา แล้วเธอก็พูดต่ออีกว่า
"นี่เธอ.....เธอต้องฟังธรรมอย่างนี้ซิ ถึงจะดี ฉันน่ะฟังประจำเลย เธอไปหาเทปฟังไป๊ "
ป้าจุ้นเกิดโทสะเล่นงานเข้าแล้วยังไม่รู้ตัว แค่โดนทดสอบนิดหน่อย ก็ไฟโทสะพุ่งจู้ดซะแล้ว คงจะเข้าใจว่า ตัวเองได้บรรลุธรรมชั้นสูง เพราะได้เห็นจิตเดินเข้าออกทางประตู และแถมยังเอาจิตให้อยู่กับฐานได้ด้วย.....ก็อย่างนี้เอง ป้าถึงไม่มีเพื่อนที่จะร่วมสนทนาธรรมด้วย เพราะเขายังไม่อยากเป็นบ้าด้วยนั่นเอง
ในที่สุดฉันก็เลยขอตัวไปทำกับข้าวดีกว่า เพราะพิจารณาแล้วว่า ขืนพูดนานกว่านี้ ก็จะทำให้คนแก่เครียดหนักยิ่งขึ้น ก็จะทำให้เป็นการสะสมอกุศลจิตมากขึ้นทั้งสองฝ่ายได้ เห็นแกมาร่วม ๒๐ ปีแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงเลย เป็นอะไรที่วูบ ๆ เว่อร์ ๆ เสมอ
โลกของคนปฏิบัติธรรม ก็แตกต่างกันไปตามการสะสมของจิตและต่างกันตามเหตุปัจจัย ที่ไม่รู้แล้วว่าตนรู้ นี่น่ากลัวมากที่สุด เพราะว่าไม่รู้ตรงตามความจริง มีความเห็นผิดก็ปฏิบัติผิด ๆ แทนที่จะได้สะสมกุศล ก็กลายเป็นสะสมอกุศล เป็นการเจริญอกุศลมากยิ่งขึ้น แล้วผลหรือวิบากนั้นจะเป็นอย่างไร ? เมื่อตายแล้วจะไปไหน ? ก็ต้องไม่พ้นอบายภูมิอย่างแน่นอน...... พระธรรมคำสอนของผู้มีพระภาคไม่ทำให้คนร้อนรุ่ม มีแต่ทำให้เย็นสบายเป็นสุข เพียงแต่ต้องฟังธรรมและพิจารณาให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ๆ เพื่อเป็น
สังขารขันธ์ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศล จนกว่าจะเกิดปัญญาของตน จนกระทั่งเป็นปัญญาประจักษ์แจ้งสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏทางทวารทั้ง ๖ ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา จนถึงขั้นมรรคจิตที่สามารถประหารกิเลสเป็นสมุจเฉท
เรื่องนี้เป็นเพียงตัวอย่างเกี่ยวกับผู้สนใจศึกษาพระธรรมปฏิบัติธรรม แต่มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) แล้วไม่รู้ว่าตนมีความเห็นผิด.....ผู้มีความเห็นผิดเป็นผู้ว่ายาก จะยึดความเห็นผิดของตนว่าถูกต้อง เขาจะไม่สามารถออกจากความเห็นผิดได้เลย เปรียบเสมือนบุคคลเดินหลงทาง วนเวียนอยู่ในป่าลึก ความเห็นผิดหรือทิฏฐิเป็นอกุศลเจตสิกเกิดกับโลภมูลจิต....... ความเห็นผิดมีโทษมากน้อยตามกำลัง ถ้าเห็นผิดมากก็ไปนรกได้ เพราะเหตุว่า ถ้ามีความเห็นผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้ามีการปฏิบัติก็จะต้องปฏิบัติผิด (มิจฉาปฏิปทา)ด้วย แต่บางคนก็มีความเห็นผิดแต่ไม่ได้ปฏิบัติอะไร ก็มีโทษไม่มาก.......ท่านผู้อ่านล่ะคะ เป็นผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ทุกคนก็มีหลงทั้งนั้น เพราะเหตุว่า หลงเป็นโมหมูลจิตที่เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง เมื่อใดสติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นเป็นกุศลจิต ไม่ใช่หลง เพราะฉะนั้น ยังไง ๆ ก็อย่าหลงจนเลอะเหมือนอย่างป้าจุ้นน่ะ...... พระธรรมเป็นเรื่องละเอียด ต้องใช้ความเพียรสม่ำเสมอ ฟังสะสมปัญญาเป็นขั้น ๆ ไป ไม่เช่นนั้นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคงไม่สั่งสมบารมีถึง ๔ อสงไขแสนกัปหรอกนะ.
...............................................