วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2566

มนุษย์มิจฉา ( ตอนที่ 3)

 เมื่อเขาพบบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านที่หลุดจากการจำนองของธนาคารแห่งหนึ่ง เขาได้ไปติดต่อสอบถามทางธนาคารเรียบร้อยแล้ว จึงได้มาแจ้งให้ทางเราทราบ เราก็คิดว่ามันคงจะเป็นจริงได้ตามที่เขาฝัน เราจึงได้โอนเงินจำนวนหนึ่งให้เขาอย่างรวดเร็วเช่นเคยเพื่อสำหรับวางมัดจำ 

ต่อมาวันรุ่งขึ้นเขาโทรมาบอกว่า ทางธนาคารแจ้งว่าไม่ผ่านเพราะว่ามีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ทางเราจึงบอกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ให้เขาโอนเงินกลับคืนให้เราด้วย ถ้าพบบ้านเมื่อไหร่ค่อยมาพูดกันใหม่  เขาเงียบไปสองวันแล้วโทรมาแต่เช้าด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด บอกว่าโชคดีมากพบบ้านหลังใหม่พร้อมที่ดิน เป็นบ้านชั้นครึ่งดูดียังใหม่อยู่ เจ้าของบ้านเขามีบ้านให้เช่าหลายหลัง เขาจะขายให้หลังหนึ่ง เพราะเขาร้อนเงิน แต่ว่าหลังนี้แพงกว่าหลังแรก เราก็ขอดูรูปบ้าน เขาส่งรูปบ้านมาให้ดู ก็ดูดีจริงๆ เราก็รีบโอนเงินให้เพื่อวางมัดจำ คราวนี้โอนเป็นจำนวนร่วมแสนบาท เขาบอกรออีก 2 วันเจ้าของบ้านจะนัดทำสัญญาซื้อขายกันที่บ้านของเจ้าของบ้าน จะมีทนายมาเป็นพยานด้วย

พอครบกำหนด 2 วัน เราก็ตื่นเต้นที่ผู้ชายคนนี้จะได้มีบ้านเป็นของตนเองซะที คิดว่าเขาคงจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เราก็คิดฝันไปซะไกล ตอนเย็นเขาโทรมาบอกเราว่า วันนี้ยุ่งมากไม่มีเวลาบอกให้ทางเราทราบ ว่าซื้อบ้านไม่ได้เพราะลูกสาวเจ้าของบ้านไม่ให้ขาย เราก็บอกว่า ถ้าซื้อไม่ได้ก็ให้โอนเงินกลับมาให้เราก่อน เขาบอกว่าได้เอาเงินนี้ไปซื้อที่ดินที่อยู่ติดกับที่ดินของน้องเขยแล้ว แล้วเอาโฉนดไปจำนองไว้ที่ธนาคาร เรียบร้อยแล้วด้วย ทางธนาคารจะให้เริ่มผ่อนส่งตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2567 เป็นต้นไป เขาได้ส่งรูปที่ดินรกร้างแห่งหนึ่งไปให้เราดู เราก็เชื่อสนิทใจว่าคงจะเป็นความจริง ก็เลยคิดกันว่าดีเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็มีที่ดินเป็นสมบัติของตนเอง เรื่องนี้ผ่านไปอย่างไม่สงสัยอะไร

ผู้เขียนได้แต่คิดสงสัยอยู่ในใจว่า ทำไมผู้ชายคนนี้เขาถึงมีปัญหาอะไรมากมาย ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จสักอย่างเลย ทำค้าขายอะไรไม่สำเร็จ จากนั้นก็ขายรถมอเตอร์ไซค์ที่เราเพิ่งซื้อให้ไม่ถึง 2 เดือน นำไปเข้าไฟแนนซ์เพื่อเอาเงินไปชำระหนี้ไฟแนนซ์อีกแห่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่เราได้ช่วยปลดหนี้สินให้หมดแล้ว แต่เขายังแอบไปทำหนี้สินใหม่อีกจนได้ ในที่สุดเขาก็ขายรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ แล้วไปซื้อมอเตอร์ไซค์มือสองมาขับส่งอาหาร เอารถมอเตอร์ไซค์ไปเข้าบริษัทไฟแนนซ์อีก เขาบอกเราว่าเขามีรถมอเตอร์ไซค์ 3 คันก็เอาเข้าไฟแนนซ์หมด พอเราได้ยินเช่นนั้น เราเริ่มรู้แล้วว่าเขาเป็นคนเช่นไร เริ่มเห็นความไม่ซื่อสัตย์และตัวตนที่แท้จริงของเขาล่ะ

การพูดจามารยาทหรือการให้ความเคารพนับถือผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่มี พอเราเริ่มถอยห่างไม่ค่อยรับโทรศัพท์และไม่พูดคุยกับเขา เขาก็จะเริ่มใช้วาจาที่ไม่สุภาพเหมือนเมื่อก่อน มีอยู่ช่วงหนึ่งผู้เขียนได้เขียนบอกเขาว่า จะไม่ขอพูดคุยด้วย แต่เขียนติดต่อได้ เขาก็เข้าใจก็ใช้วิธีเขียนติดต่อทุกวัน ส่วนใหญ่ก็จะขอเงินลงทุนโน่นนี่นั่น เรารู้สึกว่าเราให้เขามากไปจนเขาเคยตัว ก็เลยไม่ตอบอะไรทั้งนั้น

เขาหายเงียบไปสักราวๆ 1 สัปดาห์ วันหนึ่งเวลาประมาณตี 2 เวลาของเมืองไทยก็คงเป็นเวลา 8 โมง เขาโทรติดๆ กันหลายครั้ง จนผู้เขียนต้องลุกไปปิดเสียงโทรศัพท์  ขณะที่เรากำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ เขาได้โทรมาอีกหลายครั้ง เรารู้สึกรำคาญจึงได้ยอมรับสายเขา พอเราถามว่ามีอะไรเหรอ เขาร้องไห้เหมือนเด็กไร้เดียงสา ร้องไห้ฟูมฟายพูดจาไม่รู้เรื่อง เราก็พากันคิดมโนไปว่าคงจะเสียใจเพราะมีญาติพี่น้องตายมั้ง พอสืบถามจริงๆ แล้ว เขาบอกว่า เขาจะต้องติดคุกแน่ๆ หลานเขาจะอยู่ยังไง ใครจะเลี้ยงหลานให้ ทางไฟแนนซ์จดหมายมาทวงหนี้ เป็นหนี้ 2 ปีไม่ได้ส่งดอกเบี้ย เขาให้ชำระดอกเบี้ยทั้งหมดก่อน ถ้าชำระดอกเบี้ยแล้ว ทางไฟแนนซ์จะไม่เอาความ พูดไปก็ร้องไห้ไป น่าสงสารมากเลย พวกเราก็คิดว่าเขาคงจะเดือดร้อนและกลัวติดคุกมากจริงๆ ไม่คิดว่าจะเป็นการสร้างภาพ

ในที่สุดเราสองคนก็ตกลงต้องช่วยเขาอีกครั้ง ผู้เขียนได้โอนเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง ตอนที่เราบอกว่า เราจะช่วยเขาอีกครั้ง เขาหยุดร้องไห้เป็นปลิดทิ้งทันทีและปรับเสียงพูดได้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว พอวันรุ่งขึ้นเราก็ถามว่าเอาเงินไปชำระไฟแนนซ์แล้วหรือยัง ขอดูใบเสร็จหน่อย เขาบอกไม่มีใบเสร็จ ในที่สุดเราก็จับได้ว่าเขาไม่ซื่อต่อเราตั้งแต่แรกแล้ว เพราะซื้ออะไรแต่ละอย่างไม่เคยมีใบเสร็จเพื่อแสดงความจริงใจความซื่อสัตย์ต่อกันเลย การพูดจาก็ติดขัดอ่ำอึ่ง เมื่อเราซักถามซ้ำ ๆ ก็ของขึ้นโดยไม่มีเหตุผล การช่วยเหลือครั้งนี้เราคิดว่า จะเป็นครั้งสุดท้ายของผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนี้ 

มันคงจะเป็นผลของกรรมในอดีตชาติที่เราเคยทำไว้กับเขาก็ได้ เมื่อถึงเวลากรรมส่งผล มันเหมือนคนตาบอดสนิท มีแต่ความสงสารความเมตตาอยากให้เขามีความสุข อยากให้เขามีชีวิตที่ดีกว่าเดิม แต่คนที่มีจิตที่เป็นโลภะ เขาก็จะคิดแต่จะเอาฝ่ายเดียว โดยไม่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ในช่วงที่เราช่วยเหลือเขา เรามีความสุขมากที่ได้ช่วยเหลือคนทุกข์ยากลำบาก ดูเขาก็มีความสุขมากเช่นกัน ร่าเริงเบิกบานทุกวัน นั่งกินอาหารตามร้านบ่อยๆ เขาบอกว่าเขามีรายได้จากการวิ่งส่งอาหารเยอะมาก ชีวิตเริ่มดีขึ้นมาก เราก็ได้แต่นึกในใจว่าคงจะจริงอย่างที่เขาพูด เพราะเขาจะบอกเสมอว่า เขาเป็นคนดีและเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอดไม่เคยโกหกและไม่เคยโกงใคร เขาเคยส่งใบประกาศนียบัตรของโรงเรียนอาชีวะมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดมาให้เราดู บอกว่าเขายากจนมาก พ่อฆ่าตัวตายตั้งแต่เขาอายุ 5 ขวบ แม่ก็มีสามีใหม่มีน้องใหม่ 2 คน เขาไปอยู่กับปู่และย่า ทางโรงเรียนอาชีวะได้ให้ทุนเขาเรียนจนจบ เรามาสืบรู้ว่าเขาไม่ได้มีความรู้อะไร เขามารับจ้างน้องสาวผู้เขียนเป็นเวลาสิบกว่าปี ผู้เขียนไม่ค่อยได้มาเยี่ยมบ้านก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องพวกเขา