วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2566

มนุษย์มิจฉา ( ตอน 4)

 เรื่องราวที่ผู้เขียนได้เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเพียงคร่าวๆ เท่านั้น ยังมีรายละเอียดที่ไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้เพราะอาจจะเป็นการไม่เหมาะสม สรุปแล้วในที่สุดฉันและน้องสาวได้ถูกมนุษย์มิจฉาชีพหลอกสูบเงินแบบสบายๆ อยู่เป็นเวลา 7 เดือน รวมจำนวนเงินทั้งหมดร่วมสามแสน มันเป็นบทเรียนที่ราคาแพงมาก ผู้เขียนจึงอยากจะแชร์ประสบการณ์นี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ความเมตตาโดยไม่มีปัญญาทำให้เราเจ็บปวดภายหลังได้ ผู้กระทำก็จะเจ็บปวดกว่าผู้ถูกกระทำเป็นเท่าตัวเมื่อกรรมของเขาส่งผล เพราะฉะนั้นการที่เราจะเมตตาช่วยเหลือคนแปลกหน้าสักคน เราควรจะสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้นให้ทราบชัดเจนก่อนว่า เขาควรได้รับความช่วยเหลือไม่และควรจะช่วยเขาเพียงใด 

เรื่องนี้ยังไม่จบค่ะท่านผู้อ่าน มีอยู่วันหนึ่งเราตัดสินใจจะมาเมืองไทยในเดือนตุลาคม เราได้แจ้งชายเจ้าเล่ห์ว่า เราสองคนจะไปเยี่ยมบ้าน พอเขาได้ยินก็คงจะตกใจมากที่อยู่ๆ ก็จะบินไปไทย เขาถามว่า "จะไปทำไมกัน เที่ยวอยู่เมืองนอกสนุกกว่าเยอะ" สังเกตุจากน้ำเสียงเขาในตอนนั้นรู้สึกไม่พอใจที่รู้ว่าเราจะไปไทย เราจับพิรุธได้ว่าเขาต้องมีอะไรปิดบังพวกเรา จึงไม่อยากให้เราไปเยี่ยมบ้าน แต่เราไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น 

ก่อนที่เราจะเดินทางหนึ่งสัปดาห์ ทางน้องสาวที่เมืองไทยได้ว่าจ้างให้ชายเจ้าเล่ห์ผู้นี้ไปทำความสะอาดบ้านให้พวกเรา เขามาบ่นให้พวกเราฟังว่า ถ้าได้ค่าจ้างน้อยเขาจะไม่รับทำ พวกเราคิดว่าเขาจะทำความสะอาดบ้านให้เราเป็นการตอบแทนบุญคุณบ้าง แต่แล้วก็ได้เห็นความเห็นแก่ตัวของเขาจนเราไม่สามารถที่จะรับได้

ผู้เขียนได้ปิดลายน์แบบถาวรทันที คิดว่าจะไม่ต้องการรับรู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป เราให้เขามามากแล้วแต่เขาไม่คิดที่จะทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เป็นการแสดงให้เราเห็นว่าเขามีน้ำใจและมารยาทที่ดีต่อเราบ้าง เคยเป็นคนหยาบพูดจาไม่มีสัมมาคารวะอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น จะพูดมีหางเสียงก็ตอนที่อยากได้รับความช่วยเหลือ

ในเมื่อหมดหนทางทำมาหากินเพราะทางเราตัดขาด ในที่สุดเขาก็ไปรับจ้างทำความสะอาดบ้านของผู้เขียน โดยที่จ้างเท่าไหร่ก็เอา ขอให้ได้เงินพอซื้อข้าวให้หลานไปวันๆ เราเดินทางมาถึงบ้านที่เมืองไทย วันหนึ่งเขาเขามารับจ้างทำความสะอาดสวนให้น้องสาว เขาได้แวะไปหาผู้เขียน ไม่มีมารยาทเลย เปิดประตูบ้านโผล่หน้าเข้าไปถามหาน้องสาวผู้เขียน ทำเหมือนกับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับไปฟ้องน้องสาวผู้เขียนว่า ทำไมผู้เขียนไม่รับไหว้เขา น้องสาวก็สงสัยจึงถามผู้เขียน นี่เขาแต่งเรื่องโกหกได้ขนาดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เจตนาของเขาคือต้องการให้น้องสาวเข้าใจผิด คิดว่าผู้เขียนรังเกียจเขา จึงไม่รับไหว้เขา แต่จริงๆ แล้วเขาไม่เคยไหว้ผู้เขียน

อยู่มาวันหนึ่งความจริงทั้งหมดปรากฏให้น้องๆ ที่บ้านทราบว่า เราอยู่เมืองนอกโดนคนเมืองไทยหลอกไปหลายแสน พวกเขารับไม่ได้เพราะคนที่หลอกเป็นคนที่พวกเขาเคยจ้างทำงานสิบกว่าปีและโดนโกงเงินมาตลอด พอจับได้เลยไล่ออกไป ต่อมาเขาไม่มีทางไปจึงก้มหน้าเข้าไปหาแล้วของานทำ แต่เขาก็ได้แค่งานที่ไร้สมอง พวกน้องๆ ของผู้เขียนทนไม่ได้ที่พวกเราเสียรู้ผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนี้

น้องสาวสองคนได้ไปหาเขาถึงบ้านแล้วทวงสิ่งของที่ผู้เขียนซื้อให้คืน เช่น รถสามล้อเครื่อง ซึ่งเขาเตรียมจะเอาไปขาย ตอนแรกก็บอกว่าเอาไปจำนำ น้องสาวบอกว่าจำนำที่ไหนให้ไปไถ่มา ถ้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้รถสามล้อเครื่องคืน เรื่องนี้ต้องถึงตำรวจแน่ๆ 

วันรุ่งขึ้นตอนเช้าชายเจ้าเล่ห์ได้รีบนำรถสามล้อเครื่องและถังเก็บน้ำแข็งมาคืน เรื่องทวงของคืนนี้พวกเราไม่สนใจแล้วล่ะ คือเราให้เขาแล้วก็แล้วไป แต่พวกน้องสาวผู้เขียนไม่ยอม เมื่อได้รถสามล้อเครื่องมาแล้ว เขาก็นำไปขายได้เงินมาพอสมควร เงินจำนวนนี้มีความหมายมากเพราะจะเก็บเงินไว้เป็นค่ารักษาพยาบาลแม่ซึ่งป่วยหนัก พวกเราก็โล่งอกไป ที่อย่างน้อยสิ่งของมีค่าที่ไม่คู่ควรกับคนเลว ก็ได้มากลับคืนมาและแปรสภาพเป็นเงินซึ่งเป็นประโยชน์แก่แม่ซึ่งกำลังเจ็บป่วยอยู่ 

เรื่องราวเกี่ยวกับ " มนุษย์มิจฉา" ถ้าพูดกันในแง่ของกรรม ก็คงจะเป็นเวลาที่กรรมของผู้เขียนและน้องสาวส่งผล ขนาดอยู่ไกลแสนไกลก็ยังโดนหลอกได้  " นัตถิ กัมมัง สมะพลัง" แรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรมไม่มี 

ผู้เขียนหวังอย่างยิ่งว่าเรื่องประสบการณ์เกี่ยวกับมนุษย์มิจฉานี้ คงจะเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่านนะคะ อย่างน้อยท่านก็ได้ทราบถึงวิธีการและเล่ห์เหลี่ยมของพวกมิจฉาชีพเป็นอย่างไร จะได้ระวังตัวไม่ให้โดนหลอกง่ายๆ เหมือนที่ผู้เขียนและน้องสาวเคยประสบมาแล้วนะคะ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงรอดพ้นจากภยันตรายจากการถูกหลอกของพวกมิจฉาชีพด้วยเถิด